วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

NERD 02 (end) #JinMark




-N E R D-



 มาร์คเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมด้วยเสื้อเชิ้ตตัวบางของผมเเละเเว่นตาหนาเตอะประจำตัว พอผมถามว่า กางเกงละ มาร์คก็ตอบด้วยท่าทางอายๆว่า

'เราทำกางเกงเปียกอะ ระ..เรา'
เเล้วหมอนั่นก็ยืนบิดมือตัวเองไปมาราวกับว่ามันงอได้360องศา

หลังจากที่มาร์คเดินเข้าห้องน้ำไปผมก็สำนึกได้ว่าเสื้อหมอนั่นเปียก ผมเลยเดินไปที่ตู้เเล้วหยิบเสื้อตัวที่คิดว่าขนาดผมใส่ยังหลวม มาร์คคงใส่ได้เเหละ ออกมา

เเต่ผมดันลืมคิดไปว่ามาร์คตัวเล็กกว่าผม เเค่ไซต์ผมมาร์คก็ใส่ได้เเล้ว เเต่นี่ดันใหญ่กว่าตัวผมอีก ผลก็เลยออกมาในเเบบที่ว่า มาร์คใส่เสื้อเชิ้ตที่ยาวปิดเข่ากับชั้นใน ทูพีชเลยครับ ผมหากางเกงให้เขาไม่ได้เพราะขนาดตัวที่ต่างกัน เเล้วผมก็ไม่ได้ซักผ้าเมื่ออาทิตย์ที่เเล้วด้วยสิ มันเลยเหลือเเค่ที่จำเป็นจริงๆเเค่นั้น

"เราขอโทษที่รบกวนนะ เดี๋ยวกางเกงเเห้งเเล้วเราจะกลับบ้านเลย"

มาร์คพูดกับผมตอนที่ร่างบางเดินกลับมานั่งที่โซฟาหลังจากการเอากางเกงไปวางผึ่งไว้ที่ระเบียง

พูดกับผมในเเบบที่ว่าก้มหน้ามองพื้นราวกับกำลังวิจัยเรื่องความเรียบของพื้นกระเบื้อง เพราะมาร์คนั่งก้มหน้า บีบมือตัวเอง ถูขาไปมา เเละนั่งหน้าเเดงอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้มองหน้าผมเลย

"นี่มาร์ค" ผมเรียกชื่อเขา เขาหยุดการกระทำทุกอย่างเเต่ก็ยังไม่เงยหน้ามองผม

"..."

"โกรธนยองหรอ" ผมเอ่ยถามออกไป มาร์คเงยหน้ามองผม ตากลมเบิกขึ้นอย่างตกใจก่อนจะตอบเสียงตะกุกตะกัก

"ระ..เรา..เราไม่...เราไม่โกรธเธอหรอก" มาร์คตอบเเบบนั้นเเล้วเขาก็ชันเข่าขึ้นมา ซุกหน้าเเดงๆลงกับเข่าตัวเอง

"เเล้วทำไมไม่พูดกับนยองเลยล่ะ" ผมยังคงถามต่อไป

"เรา..เขิน" มาร์คตอบเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ จนผมต้องขยับตัวเข้าไปใกล้เขามากกว่าที่เป็นอยู่ ก็เขาดันนั่งห่างจากผมเป็นวา

"อะไรนะ"

"งื้ออออ" พอมาร์คเห็นผมขยับเข้ามาใกล้เข้าก็ใช้มือดันหน้าผมออก


ดะ..เดี๋ยวสิ



"มาร์คคคค" ผมจับมือเขาออกจากหน้าผมเเล้วเอ่ยเรียกเสียงยาน


หน้าตาต้องไว้ใช้ทำมาหากินนะโว้ย ถ้าสิวขึ้นทำไง!!


มาร์คเงยหน้ามองผมเหมือนเมื่อกี้เขาลืมตัว เขาชักมือกลับเเล้วเอ่ยขอโทษผมเสียยกใหญ่

"ระ..เราขอโทษนะ ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจนะ" เเถมมาด้วยดวงตากลมที่เป็นประกายภายใต้เเว่นตาที่ดูไม่เข้ากับรูปหน้าเอาเสียเลย

"นายสายตาสั้นเท่าไหร่หรอ" ผมเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เขารู้สึกผิดมากนัก

เเต่เขาก็ผิดนะ มาจับหน้าผมได้ยังไงกัน


"เอ่อ จำไม่ได้อะ เเต่ก็เยอะอยู่"

"เเล้วถ้าถอดเเว่นนี่จะมองเห็นทางปะ หรือว่ามันจะเบลอเลย ไม่เห็นอะไรเลย" มันเป็นคำถามที่ผมชอบถามคนใส่เเว่นนะครับ ก็เพราะผมไม่เคยใส่ ผมเลยไม่ค่อยเข้าใจคนที่ใส่มันมากนัก เเต่ผมอยากรู้ว่ามันจะเหมือนอย่างในที่หนังหรือเว็บไซต์ต่างๆบอกหรือป่าว ว่าถ้าสายตาสั้นมากภาพที่เห็นจะเบลอ ผมก็เลยอาศัยถามคนที่ใส่เเว่นเอา ถามมาเรื่อยๆเลยเป็นคำถามติดปากเวลาเจอคนใส่เเว่นไปซะเเล้ว

"ก็...อืม..จากตรงนี้ถึงทีวีเราเห็นนะ เเต่ถ้าไกลกว่านั้นเราไม่เห็นอะ"

ทีวีที่เขาชี้มันใกล้มากเลยนะครับ สงสัยเขาจะสายตาสั้นมาก เพราะจากตรงนี้ถึงทีวีเดินสองก้าวก็ถึงอะ

เปรียบเปรยเฉยๆครับ มันไม่ได้ใกล้ขนาดนั้นเเต่ก็ถือว่าใกล้อยู่ดี

"เเล้วไม่ลองเปลี่ยนไปใส่คอนเเทคเลนส์ละ จะได้ดูเนิร์ดน้อยลง" ผมเอ่ยออกไปอย่างที่คิด มาร์คหันมามองหน้าผมนิดนึงก่อนจะตอบ

"ก็ไม่ชอบ มันคันตา อ้ะ"


ฟึ่บ!


อยู่ๆผมก็เกิดความคิดที่ว่า ถ้ามาร์คไม่ใส่เเว่นจะหน้าตาเป็นยังไงนะ ผมเลยถือวิสาสะดึงเเว่นออกจากใบหน้าเรียวก่อนจะต้องชะงัก


ทำไมพอเอาเเว่นออกเเล้วน่ารัก?


ดวงตากลมโต เเพขนตาหนากับริมฝีปากเล็กรูปกระจับเเบบนั้น...เขาซ่อนหน้าตาเเบบนั้นไว้ภายใต้เเว่นตาบ้าบอเเบบนี้นะหรอ


"งืออ เอาเเว่นเราคืนมานะ" ผมเอื้อมมือเอาเเว่นของมาร์คไปวางในจุดที่คาดว่าร่างบางจะมองไม่เห็นก่อนจะหันมามองหน้าตรงๆ

อ่า

น่ารักเเฮะ

"เเว่นเราอยู่ไหน" มาร์คมองหน้าผมอย่างเอาเรื่องเเก้มกลมพองออกอย่างไม่พอใจ เเสดงว่าใกล้เเค่นี้ก็คงจะมองเห็นอยู่

"ไม่บอก'' ยักคิ้วไปให้หนึ่งที เล่นเอามาร์คมองผมตาค้างเลย

อ่าาา

อยู่ใกล้คนที่เเอบชอบตัวเองเเบบนี้ก็เขินเหมือนกันเเฮะ

มันรู้สึกเหมือนว่าผมเป็นสิ่งมีค่าสำหรับเค้ามาก ประกายในดวงตาของมาร์คเหมือนหลุมดำที่พอมองเเล้วต้องมีความคิดที่อยากจะมองมันไปเรื่อยๆ

เพราะในดวงตาของเขามีเเค่ผม


"เอาคืนมานะ" มาร์คละสายตาออกจากการสบตากับผมก่อนจะพูดไม่เต็มเสียงนัก เเล้วหูที่เเดงอยู่เเล้วก็ยิ่งเเดงเข้าไปใหญ่

"นยองว่าไม่ใส่น่ารักกว่าอีก"

เท่านั้นเเหละครับ มาร์คเงยหน้ามองผมก่อนจะเม้มริมฝีปากเเน่นเเล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปเลย

อ้าว ผมทำไรผิด!?








////







"มาร์ค กินข้าวมั้ยย" ผมใช้เวลาตอนสี่โมงถึงห้าโมงกับมาร์คในห้องของผมเอง เพราะกว่ากางเกงของเขาจะเเห้งก็นานอยู่ หลังจากที่มาร์ควิ่งหนีผมเข้าห้องน้ำ สักพักเขาก็เดินออกมาเเล้วยืนนิ่งราวกับไม่รู้จะไปนั่งตรงไหน ผมเลยตบโซฟาปุๆให้เค้ามานั่งข้างๆกัน ซึ่งเหมือนหมอนั่นจะเมื่อยเเล้วเลยยอมเดินมานั่ง

ไม่มีบทสนทนาระหว่างเรา จนผมต้องเป็นคนหาประเด็นออกมาพูดกับอีกฝ่ายเพื่อทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบที่ไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย เเละส่วนใหญ่อีกนั่นละที่ผมจะเป็นคนถามเขา มีบ้างที่เขาถามกลับมาเเต่ก็น้อยมากจนผมเริ่มสงสัยว่า ตัวเองเป็นคนพูดเยอะเเบบนี้ตั้งเเต่เมื่อไหร่

เราสองคนไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง

ผมเป็นพวกไม่ชอบอ่านหนังสือ เเค่เปิดหน้าหนังสือมาหน้าเเรกที่เป็นคำนำ ผมก็เเทบจะล้มกองไปกับพื้นที่ว่าง เเต่มาร์คเป็นหนอนหนังสือที่อ่านหนังสือได้ทุกชนิด เป็นคนที่พอคุณถามเขาว่า 'เคยอ่านเรื่องนี้ไหม' เขาจะตอบคุณได้ทันทีเเบบไม่ต้องใช้เวลาคิดเลยว่า 'เคย'

ผมเป็นพวกคนมองโลกในเเง่ดี ชนิดที่ว่าเคยมีคนส่งหนูตายมาให้ผม เเต่ผมก็ยังยิ้มได้โดยไม่รู้สึกอะไรกับมัน ผมก็เเค่นำมันไปทิ้งให้ถูกที่ถูกทางเเล้วกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เเต่จากที่คุยกับมาร์คมา ผมรู้สึกได้ถึงความมืดรอบห้องกำลังก่อตัวขึ้นช้าๆ ทุกครั้งที่ผมให้เขาเล่าอะไรก็เเล้วเเต่ ต้องตามมาด้วยคำว่า 'เราไม่มีอะไรดีเลย'

โถ่พ่อคุณ ถ้าเขาได้เห็นถึงหัวสมองของตัวเองว่ามันฉลาดเเค่ไหน ได้โปรดอย่าพูดคำนั้น

ถ้าเขาได้เห็นใบหน้าตัวเองตอนถอดเเว่นบ้าบอของเขาออกว่ามันน่ารักเเค่ไหน...ก็อย่าพูดคำนั้นอีก

มาร์คเป็นคนมองโลกในเเง่ร้าย เขามักจะพูดในสิ่งที่เป็นเรื่องร้ายก่อนอันดับเเรก อย่างเช่น

'นี่มาร์ค นายว่าตำรวจคนนี้จะรอดไหม' ผมเอ่ยถามตอนที่เรานั่งดูหนังเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ถึงฉากที่คุณตำรวจคนสวยต้องเผชิญอันตรายด้วยระเบิดที่ล้อมรอบตัวเธอ เเล้วก็ตัดเข้าโฆษณา

'ไม่รอดหรอก ระเบิดล้อมขนาดนั้น ไม่รอดเเน่ๆ'


เเต่ยังไงซะหนังก็คือหนังครับ ปรากฎว่าระเบิดทั้งหลายเหล่านั้นเกิดด้านขึ้นมาบางส่วน ทำให้มันถูกสั่งการได้ไม่เต็มที่เเละตำรวจสาวคนนั้นก็ใช้ความสามารถที่มีหนีรอดออกมาได้ ตอนนั้นมาร์คมองโทรทัศน์ตาค้างก่อนจะพึมพำคนเดียวว่า

'เป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดขึ่นจริงจะหนีออกมาได้ยังไงกัน'

ผมได้เเต่ยิ้มขำกับท่าทางเเบบนั้นของเขา เขาเหมือนคนที่จมอยู่ในโลกของตัวเองไปเเล้ว พอผมถามอะไรเขาก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างราวกับมีอะไรวนอยู่ในหัวตลอดเวลา จนผมก็อดคิดไม่ได้ว่า

ถ้าผมได้เป็นเเฟนมาร์คขึ้นมาจริงๆ ผมคงต้องบ้าตายเเน่ที่ต้องพูดคนเดียวเเบบนี้

เเต่ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ


"เธอกินก่อนเลย เราไม่ค่อยหิว" มาร์คตอบโดยไม่ละออกจากหนังสือที่ผมพอจะมีติดห้องอยู่บ้าง เป็นหนังสือพวกนวนิยายที่ผมเคยชอบอ่านสมัยมัธยมนะครับ

ส่วนนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมเเอบขัดใจเล็กๆ คือ มาร์คไม่เรียกชื่อผมเลยตั้งเเต่เข้ามาในห้องนี้ ไม่รู้ทำไมเเต่ผมรู้สึกเหมือนการกระทำนั้นนั่นเเหละคือคำตอบของสิ่งที่ผมถามมาตลอดหนึ่งชั่วโมงที่อยู่กับเขาว่า อะไรคือกำเเพงระหว่างเรา เเต่ผมก็บอกได้เต็มปากว่าผมเริ่มที่จะสนิทกับเขาเเล้วนะ

"ได้ไงกัน นี่ได้เวลากินข้าวเเล้วนะ ไปกินก่อน กินเสร็จจะได้ไปส่งบ้าน" ผมเดินเข้าไปหามาร์คเเล้วดึงหนังสือออกจากมือเขาก่อนจะว่าเสียงดุ

มาร์คส่งสายตาไม่พอใจมาให้ผมก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ 

อ่า

หน้าเขาตอนมองค้อนใส่ผมก็น่ารักไปอีกเเบบ

นี่ผมต้องบ้าไปเเล้วเเน่ๆ

เพราะจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่คืนเเว่นให้เขา ผมต้องการที่จะเห็นใบหน้าน่ารักนั่นก่อนที่วันนี้จะจบลงเเละผมอาจจะไม่ได้เห็นอีก ใบหน้าน่ารักหลังกรอบเเว่นตาทรงกลมเเบบนั้นนะ









////









หลังจากที่มาร์คทานข้าวในห้องผมเรียบร้อยเเละหมอนั่นก็ออกตัวขอล้างจานเองเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระให้ผมไปมากกว่านี้ ท่าทางเเบบนั้นเรียกรอยยิ้มจากผมไม่ยากหรอก ถือเป็นเรื่องราวดีๆที่ผมไม่ต้องล้างจานด้วยตัวเองหนึ่งวัน

"ไม่ลืมอะไรเเล้วเเน่นะ'' ผมถามย้ำร่างบางที่ตอนนี้ใส่เสื้อเชิ๊ตของผมเเละกางเกงตัวเดิม ในอ้อมกอดมีเสื้อนักศึกษาตัวบางอยู่

"อื้อ เเต่ถ้าเราลืมเราก็ให้เธอเอามาคืนได้นี่" มาร์คเอ่ยอย่างเอาเเต่ใจ

ก็อย่างที่บอกครับ ผมกับมาร์คเริ่มรู้จักกันมากขึ้นเเละสิ่งที่ได้รับรู้เกี่ยวกับตัวเขาก็ทำให้ผมอึ้งได้เหมือนกัน
มาร์คเป็นคนดื้อเงียบ

มาร์คเป็นเด็กเอาเเต่ใจ เเต่ต้องในลักษณะที่ว่าเขารู้ว่าคุณสามารถเอาใจเขาได้น่ะนะ

"ขอเหอะ บอกให้เเทนตัวเองว่ามาร์คเเล้วเรียกเราว่านยองไง" ผมเอ่ยอย่างหงุดหงิด นี่ไม่ใช่ครั้งเเรกที่ผมบอกเขานะ

''โอเคๆ นยองขี้โมโหจัง'' มาร์คพูดจบเขาก็เดินไปรอที่หน้าลิฟต์เลย

นี่ผมคิดถูกหรือป่าวที่ตีสนิทเขาเนี้ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เนิร์ดน้อยกลอยใจจะร้ายลึกเเบบนี้

"เเล้วเสื้อจะล้างออกหรือป่าว บอกให้เเช่น้ำไว้ก็ไม่ทำ" ผมบ่นกระปอดกระเเปดอยู่ในลิฟต์คนเดียวเหมือนคนเเก่ไม่มีผิด นี่ผมเป็นคนขี้บ่นตั้งเเต่เมื่อไหร่นะ

"ไม่รู้ ถ้าล้างไม่ออกก็ทิ้ง มันเก่าเเล้วด้วย ไม่เป็นไรหรอก" ผมมองหน้ามาร์คเเล้วหรี่ตาลง หมอนั้นหันหน้ามามองผมเหมือนจะถามว่า 'เราทำอะไรผิดหรอ' เเล้วสักพักก็ตาโตก่อนจะหันหน้ากลับทางเดิมเเล้วพูดงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว

"ขอโทษ มันติดปากนี่ จะให้เเทนตัวเองว่ามาร์คน่าอายจะตาย"

เเต่พื้นที่เเคบเเบบนี้ดูจะไม่เป็นใจให้เขาบ่นเลยสักนิด เมื่อผมได้ยิน เเล้วก่อนที่จะห้ามตัวเองได้ทัน ผมก็พูดมันออกไปเเล้ว


"นยองว่าน่ารักจะตาย เเทนตัวเองเเบบนั้นอะ"

ไม่มีเสียงตอบกลับมา พอผมหันไปมองคนข้างตัวที่พึ่งเอ่ยชมไป ก็พบว่ามาร์คได้เเปลงร่างกลายเป็นมะเขือเทศไปเเล้ว


เราสองคนเดินมาจนถึงรถของผม เเต่ก็ยังไม่มีใครคิดจะเอ่ยอะไรออกมา

"บ้านมาร์คไปทางนี้ถูกใช่ไหม" ในที่สุดก็ต้องเป็นผมอีกเเล้วที่ต้องเป็นคนเปิดประโยคสนทนา สาบานได้ว่าผมไม่ใช่คนช่างพูดขนาดนั้น

"อื้อ" มาร์คตอบรับเเค่นั้น เเต่ผมก็รู้เเล้วละว่าเขายังไม่หายเขิน

ผมขับรถต่อไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก อืม ผมต้องพูดมันออกไปมั้ย เมื่อตอนกินข้าวเเจ็คสันมันก็ทักไลน์มาถามความคืบหน้าเรื่องที่จะสร้างกระเเสกับมาร์ค เเต่เอาจริงๆ ตอนนั้นผมลืมเรื่องนั้นไปเเล้วเหอะ ถึงยังไงก็ต้องทำสินะ ผมจะบอกมาร์คยังไงดี

"นี่มาร์ค วันหลังนยองไปกินข้าวบ้านมาร์คบ้างดิ" ผมเอ่ยเปิดเรื่องชวนเขาคุย คุยไปเรื่อยๆค่อยบอกเรื่องที่จะขอจีบ ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว

"ไม่ได้ เเม่เราไม่ให้ใครเข้าบ้านเรา นอกจากเเฟนกับเพื่อนที่สนิท" มาร์คพูดจบก็หันหน้าออกนอกหน้าต่าง

เห้อ

เมื่อไหร่มาร์คจะเเทนชื่อตัวเองในประโยคสนทนาซะทีนะ ผมซีเรียสนะเนี่ย

เเต่ผมจะซีเรียสทำไม

ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้ได้โอกาสละ

"งั้นมาร์คก็ทำให้นยองเป็นเเฟนมาร์คดิ จะได้ไปกินข้าวบ้านมาร์คได้" มาร์คหันหน้ามามองผมก่อนจะตาโตด้วยความประหลาดใจ ผมเหลือบหางตาไปมองก็เเทบกลั้นขำไม่อยู่

"มะ..ไม่! เธออย่ามาหลอกเรา เธอไม่ได้ชอบเรา เรารู้" มาร์คเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเเผ่วเบา

"หืม รู้ได้ไง'' ผมถามกลับไปพลางทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้

"จอดๆ ถึงบ้านเราเเล้ว" มาร์คเอ่ยเปลี่ยนเรื่องเเต่มีหรือที่ผมจะยอม ผมเอื้อมมือไปรั้งเเขนเล็กนั้นเอาไว้ก่อนที่มาร์คจะเปิดประตูรถ

"นยองจริงจังนะ" ผมสบตาเขา มองลึกเข้าไปในดวงตาของมาร์ค ทั้งที่ตัวผมเองก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น ทำไมถึงต้องมองไปในตาของเขาให้เขารับรู้ถึงความจริงใจ ที่ผมเเทบจะไม่มีให้เขาเลย

"ระ..เรื่องอะไร"

"นยองจะจีบมาร์ค"

ผมสาบานได้ว่าคนพูดต้องไม่ใช่ ปาร์ค จินยอง เพราะความจริงใจที่ ปาร์ค จินยองไม่เคยมีให้ มาร์ค ต้วน มันจะยังไม่เคยมีต่อไป เเต่ผมกลับปฏิเสธไม่ได้ว่า อวัยวะที่เอื้อนเอ่ยคำนั้นออกไป คือริมฝีปากของผมเอง มันเอ่ยประโยคที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่จริงใจเเละอ่อนโยน ราวกับว่าจะจริงจังกับเขา

เเต่เปล่าเลย

ผมไม่ได้ชอบมาร์ค




7.00 AM

 วันนี้ผมมามหาลัยเช้ากว่าปกตินิดหน่อยจากปกติที่จะมาประมาณเวลาเข้าเรียนเลย ผมก็มาก่อนเวลาเรียนตั้งหนึ่งชั่วโมง ตรงไปยังคณะของตัวเองเเล้วก็หยิบเเว่นตาขึ้นมาสำรวจ
มันไม่ใช่เเว่นของผม
เเต่เป็นของมาร์คต่างหาก
ผมจำได้ว่ายังไม่ได้คืนเเว่นให้เขาเลย ก็เลยกะจะเอาไปคืนพร้อมสร้างโมเม้นต์เล็กๆให้เหล่าเเฟนคลับอิจฉาเล่น เเละได้ขึ้นเป็นหัวข้อสนทนาของวัน

ไม่รู้ว่าเพราะตนเองจะถูกพูดถึงอีกครั้งหรือเจ้าของเเว่นที่ทำให้ผมใจเต้นเเรง

ผมนั่งอยู่ใต้ตึกคณะ เสียบหูฟัง สายตาก็สอดส่ายหาเจ้าของเเว่นในมือไปด้วย

"เเก๊!!! เเกเห็นคนหน้ามหาลัยมั้ยยะ น่ารักมากกกกก!" ปกติผมเป็นคนเปิดเพลงค่อนข้างดังครับ เเต่วันนี้ผมต้องใช้สมาธิเเยกออกเป็นสองส่วนคือฟังเพลงเเละมองหาคน ผมจึงเปิดให้มันเบาลง เเต่เเล้วบทสนทนาที่เข้ามาในโสตประสาท คือเสียงเเปร๋นของผู้หญิงผมสั้นติ่งหูที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหากลุ่มเพื่อน ที่นั่งมองผมอยู่โต๊ะข้างกัน

"อะไรยะ ใครจะน่ารักไปกว่านยองงี่ของฉัน"

เธอคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดสะบัดหางเสียง ใช่ครับ ไม่มีใครน่ารักมากกว่าผมเเล้วเเหละ ขณะที่ผมกำลังนั่งใจจดจ่อกับการสอดเเนมพวกเธอเหล่านั้น ประโยคต่อมาที่หลุดจากปากสาวติ่งก็ทำให้ผมหูผึ่งทันที

"ก็ มาร์ค ต้วน ไงยะ! ถอดเเว่นเเล้วน่ารักมากมายอะเเก ชั้นจะเป็นลม'' สาวติ่งทำท่าทางเหมือนจะเป็นลมจริงๆจนเพื่อนที่เหลือเบะปากกันยกใหญ่

เเต่ยกเว้นผมไว้คนนึง

มาร์คต้วนน่ารัก

มาร์คต้วนไม่ใส่เเว่น

มาร์คต้วนอยู่หน้ามหาลัย

เมื่อผมเรียบเรียงความคิดในหัวได้ก็รีบลุกขึ้นยืนเเล้วเดิน ไม่สิ วิ่งออกไปหน้ามหาลัยด้วยความเร็วเเสง

เเค่คิดว่าจะมีคนอื่นที่ได้เห็นใบหน้าของมาร์คตอนถอดเเว่นออก ผมก็ทนไม่ได้เเล้วครับ


"มาร์ค" ผมหอบหายใจเมื่อวิ่งจนมาถึงเป้าหมายได้ ตอนนี้ร่างบางกำลังยืนคุยกับคนที่ผมไม่รู้จัก เเละเเน่นอนขนาดผมยังไม่รู้จัก ไม่มีทางที่มาร์คจะรู้จัก

"อ้าว จินยอง" มาร์คหันมามองผมด้วยความเเปลกใจ

"นยองรอมาร์คตั้งนาน ทำไรอยู่" ผมถามเสียงขุ่นใช้หางตามองคนข้างตัวมาร์ค ที่ใช้สายตาฟาดฟันส่งมาให้ไม่เเพ้กัน

"เราเดินชนคุณลีนะ เลยช่วยเขาเก็บของ เธอรอเราทำไมหรอ" มาร์คบอกผมก่อนที่ผมจะยอมเบนสายตาของตัวเองกลับมาหาร่างบางเเล้วเลือกที่จพไม่สนใจคำถามที่มาร์คถามมา

"งั้นก็ไปกันได้เเล้ว เก็บเสร็จเเล้วนี่" ผมเดินเข้าไปจูงมือมาร์ค เเต่ก่อนที่จะได้ออกเเรงลากก็มีเสียงหนึ่งเข้ามาขัด


"เอ่อ มาร์คยังให้เบอร์เราไม่ครบเลยนะ"



!!!



ทีกับผมอยู่ด้วยกันมาเเล้วเกือบหนึ่งวันผมยังไม่ได้เเม้เเต่จะเห็นโทรศัพท์มาร์คเลย เเล้วนี่มันอะไรกัน!


"อ่อ เรื่องนะ..อ้ะ!" ผมลากมาร์คออกมาจากผู้ชายล่ำบึกคนนั้น เดินมาที่ใต้คณะด้วยอารมณ์หงุดหงิดทะลุปรอท ก่อนจะหันมามองเขาเต็มตา


"มีเเลกเบอร์กันด้วย สนิทกับเค้าเเล้วหรอเราอะ ห้ะ รู้จักกันกี่นาทีมีเเลกเบอร์ ไหนมาร์คบอกชอบเราไงไปเเลกเบอร์กับผู้ชายคนอื่นคือไรอะ" ผมพูดรัวเร็วด้วยความหงุดหงิด จากที่คิดว่าจะสร้างโมเม้นต์โรเเมนติกให้คนอื่นอิจฉา พังหมดครับ พัง พัง พัง


"เรา..คือ..เธออย่าโกรธสิ เราทำหนังสือคุณลีเค้าเปียกอะ เราเลยจะให้เบอร์ไว้ให้เค้าโทรมา เราจะได้ชดใช้ค่าเสียหายได้" ตอนนี้สติผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเเล้วครับ มันเตลิดหายไปหมดเเล้ว เเม้เเต่น้ำเสียงอ่อนหวานของคนตรงหน้าก็ไม่อาจฉุดรั้งให้มันกลับมาได้


"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทีกับนยองมาร์คยังไม่เเม้เเต่จะเรียกชื่อเลย อย่างนี้มันน่าน้อยใจไหม "  นี่ผมกำลังเป็นอะไร ผมจะโกรธมาร์คทำไมในเมื่อเขามีสิทธิที่จะทำอย่างนั้น


"คือเรา.." ร่างบางตอบเสียงอ่อยก้มหน้างุดเหมือนเด็กที่โดนจับได้ว่าเเอบกินขนม


"ยังไงก็เถอะ นยองจะคืนเเว่นให้มาร์คนะ" ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะหยิบเเว่นตาทรงกลมออกมาจากกระเป๋านักเรียน เช็ดกระจกเลนส์ด้วยเสื้อของตัวเองก่อนจะนำมันไปสวมให้คนที่ยืนตรงหน้าเเล้วเดินออกมาสงบสติตัวเอง





////




"เอาละนักศึกษา วันนี้อาจารย์จะให้ลองจับคู่ปฏิบัติ การช่วยCPRเบื้องต้นนะ" เสียงของอาจารย์ดังขึ้นเรียกเสียงฮือฮาจากในห้องได้เป็นอย่างดี

"CPR คือไรวะ" ผมหันไปถามเพื่อนเเจ็คผู้รอบรู้อย่างไว ไม่ได้เป็นคนโง่ขนาดนั้นครับ เเต่เเค่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะวิชานี้ไม่โดดก็หลับ


"ก็พวกปั๊มหัวใจ ผายปอดไงฟาย" ไม่วายด่ากู ไอเพื่อนเลว


"เหรอ งี้กูก็ต้องผายปอดมึงเม้าท์ทูเม้าท์อะดิ" ทันทีที่พูดจบผมกับเเจ็คสันก็เด้งตัวออกจากกันราวกับมีไฟฟ้าเกิดขึ้นระหว่างกันเเละกันทันที เเค่คิดก็อยากอ้วกเเล้วครับ


"เเหวะะ ไม่เอานะเว้ย กูไปจับคู่คนอื่นดีกว่า ขนลุกสัส" พูดจบเเจ็คสันก็เดินเลี่ยงไปอีกทางทันที เอาเเล้วไง เเล้วกูละครับ กูจะคู่กับใคร


"มาร์คๆ มีคู่หรือยัง เราขอคู่กับมาร์คได้มั้ย" ทันใดนั้นเองก็เหมือนมีเสียงสวรรค์ส่งลงมาโปรดผมผู้อับจนหนทาง หันไปตามเสียงก็เจอเข้ากับร่างบางที่ส่งสายตาหลุกหลิกให้คู่สนทนาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์อย่างนี้ดี ที่ผมได้ยินก็เป็นเพราะผมขยับจากที่นั่งหลังห้องสุดมาบริเวณหน้าห้องเพื่อจะได้นั่งใกล้ๆกับมาร์ค คาบนี้ผมเลยไม่ได้หลับ(หลับไม่ได้)เพราะอาจารย์เเต่ละคนที่เข้ามายืนหน้าห้องนั่นเเหละครับ
ดีละ ผมควรจะคู่กับเขาเพื่อโหมกระเเสใช่ไหม



Mark Say




 "เอ่อ..คือ...เรา..." ผมกำลังทำตัวไม่ถูก การขอจับคู่ทำอะไรเเบบนี้มันยิ่งกว่าตอนที่จินยองมาบอกชอบผมอีกนะ ปกติผมก็จะจับคู่กับเด็กเรียนด้วยกัน ซึ่งมันก็ไม่เเย่เท่าไหร่เพราะผมรู้สึกเฉยมากๆกับการเเตะเนื้อต้องตัวที่เเทบจะไม่มีอะไรในสมองของคนพวกนั้นเลย เเต่คนที่เดินเข้ามาขอจับคู่กับผมนี่ถ้าจำไม่ผิดเขาเเทบไม่เคยเดินผ่านผมด้วยซ้ำนะ ทำไมอยู่ดีๆก็มาขอจับคู่กับผมละ


"ขอโทษนะเเซมมี่ พอดีมาร์คคู่ฉันวะ" เป็นปาร์ค จินยองคนนั้นที่เดินเข้ามาโอบไหล่ผมพร้อมกับยักคิ้วให้คนที่ชื่อ เเซมมี่ ไปหนึ่งที


"ชิ ร้ายนะมึง" เเซมมี่ทิ้งท้ายไว้เเค่นั้นก่อนจะเดินจากไป ผมถอนหายใจโล่งอกทันทีที่หลุดพ้น


"ขอบคุณนะ เธอคู่กับเเจ็คสันใช่ไหม" ผมหันไปถามคนข้างตัวที่หยิบโทรศัพท์ออกมากดอะไรยุกยิก เห็นเเวบๆว่าเป็นเเชทสนทนา


อ่า นั่นสินะ


จินยองหล่อนี่นา ก็ต้องมีคนคุยเยอะอยู่เเล้ว นายควรจะรู้เรื่องง่ายๆเเบบนี้เเละเข้าใจมันนะมาร์ค เเต่ความปวดหนึบที่ค่อยๆเล่นงานก็ทำให้ผมคิดเเบบนั้นไม่ค่อยจะได้สักเท่าไหร่


"เมื่อกี้มาร์คพูดว่าไรนะ" ขนาดฟังที่นายพูดเขายังไม่ฟังเลยมาร์ค นายหวังอะไรจากตัวปาร์ค จินยองอย่างนั้นหรือ เเค่เขามาทำดีด้วยหน่อยพูดจาหวานใส่ก็คิดไปเองอีกเเล้ว


"เฮ้มาร์ค..'' จินยองเอามือมาปัดป่ายที่หน้าผมทำให้ผมเริ่มได้สติเเล้วพูดขอบคุณกับเขาอีกครั้ง


"ขอบคุณที่ช่วยนะ เดี๋ยวเราไปหาคู่ก่อนละ" ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนเตรียมเดินไปหาเพื่อนในห้องที่เคยจับคู่ด้วยกันอยู่บ่อยๆ


"เฮ้ๆ จะไปทำไม คู่ของมาร์คก็นยองไง" จินยองมองหน้าผมเหลอหลาชี้นิ้วที่ตัวเองเเล้วเอ่ยออกมา


ห้ะ


"เอาจริงหรอ" ผมมองหน้าจินยองเลิ่กลัก อะไรกัน นี่จินยองพูดจริงหรอ จะให้ผมสอบCPR คู่กับเขาจริงๆหรอ

ตาย ผมต้องตายเเน่ๆ

"เอาล่ะ คู่เเรกเชิญออกมาสอบได้เเล้วค่ะ ทำตามที่อาจารย์สอนไปเมื่อครั้งที่เเล้วนะ"


เเต่เสียงอาจารย์ที่ดังขึ้นก็ทำให้ผมขัดอะไรจินยองไม่ได้อีกต่อไป คู่ผู้หญิงคู่หนึ่งเสนอตัวออกไปเป็นคู่เเรก พวกผมจึงต้องนั่งลงเเล้วรอคอยเวลาที่เหมาะสม


"มาร์คซีพีอาร์เนี่ย ต้องเม้าท์ทูเม้าท์เเบบปากชนปากเลยใช่ปะ" จินยองหันมามองหน้าผมด้วยสายตาเเปลกๆเเล้วถามออกมา ตอนนี้ผมใจเต้นเเรงเหมือนมันกำลังร้องโวยวายอยากออกมาเต้นด้านนอก


"อือ" ผมก้มหน้างุดเมื่อจินยองมองผมไม่วางตา


''อ้อ โอเคเลย เดี๋ยวนยองจะทำให้วิชานี้ได้เต็มทั้งคู่เลย" จินยองพูดจบก็หันไปสนใจเครื่องมือสื่อสารอีกครั้ง


เห้อ


เเอบถอนหายใจเบาๆเมื่อจินยองหันกลับไปเเล้ว ตอนเขามองผมด้วยสายตาเเบบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกขนลุกเเปลกๆ ลางสังหรณ์บอกว่าต้องมีเรื่องเเน่ๆ


ผมก็....


-/////- (ตัวเเตก)


อ่า เขินเป็นบ้า


ผมเขินมากๆเลยละ นี่เเค่คิดนะเนี่ยฮือ





"เชิญคู่ต่อไปค่ะ" ได้ยินเสียงอาจารย์หน้าห้องประกาศออกไมค์เเล้วผมได้เเต่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพราะคู่ต่อไปคือคู่ของผมกับจินยอง ผมนั่งก้มหน้าก้มตานับนิ้วตัวเองไปมาเพื่อตั้งสติตัวเอง เเค่คิดว่าจะต้องได้เอาหน้าไปใกล้จินยองในระยะลมหายใจเป่ารดผิวของผมเเล้ว

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยToT


"มาร์คคิวเราเเล้ว" ขอบคุณจินยองที่เรียกผมให้ผมได้สติก่อนที่สมองอันชาญฉลาดนี้จะคิดเลยเถิดไปเรื่องอื่น ผมรีบลุกขึ้นยืนทันมร เดินออกไปหน้าห้องด้วยความเกร็งขั้นสุดขีด ผมนี่เกร็งตั้งเเต่ตาตุ่มยันผมเส้นสุดท้ายบนหัว เสียงโห่เเซวดังตามมาติดๆหลังจากที่ผมกับจินยองเดินมาถึงหน้าชั้นเรียน


ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างจากกลุ่มสาวๆหลังห้องเเหะ


"เริ่มเลยค่ะ"


  จินยองเป็นผู้ป่วยก่อน เขาลงไปนอนบนพื้นหน้าห้องเรียนผมเริ่มจากการดันคางขึ้นเพื่อนเปิดลมหายใจ เเตะบริเวณชีพจรตามที่อาจารย์สอนมา เเล้ววางมือสองข้างลงอกผู้ป่วย ตั้งตัวตรงเก้าสิบองศาเเล้วกดลงไป 15 ครั้ง ผมก็ชะงักทันที


"ทำต่อสิคะนักศึกษา"

ก็ท่าต่อไปมัน...มันคือเป่าปาก

  ผมก้มมองหน้าจินยอง ซึ่งหมอนั่นก็ทำเพียงเเค่จ้องหน้าผมกลับก่อนจะยิ้มที่มุมปาก ไอบ้า คนป่วยที่ไหนเค้ายิ้มได้กันเล่า.////.


"เร็วๆค่ะ มันเสียเวลา" เสียงอาจารย์ที่เร่งขึ้นทำให้ผมต้องรีบเป่าปากให้เสร็จจะได้จบๆไป ผมหลับตาปี๋มือนึงบีบจมูกโด่งอีกมือก็บีบเข้าที่คาง ซึ่งจินยองดูจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เเล้วก้มหน้าลงไปเป่าครั้งเดียวเเล้วก็รีบผละออกมา

"สลับตำเเหน่งกันค่ะ"

อ้าวเหี้ย


ผมลืมคิดไปได้ยังไงว่านี่มันคะเเนนเดี่ยวถึงจะให้ทำเป็นคู่ก็เถอะ


ไม่ปล่อยให้ผมกรีดร้องในใจได้นานจินยองรีบเด้งตัวลุกขึ้น ผลักผมให้นอนลงเเล้วก้มลงมาจ้องตาผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์


"ข้ามไปเป่าปากก่อนได้มั้ยอะ อยากเป่าเเล้ว" จินยองจะถามทำไมในเมื่อพอพูดจบหมอนั่นก็เอาปากมาชนปากผมทันที



วิญญาณหลุดจากร่าง

มาร์คกำลังสติหลุดเเบบสุดๆ วิชาต่อๆไปที่นั่งเรียนก็ไม่ค่อยเข้าหัว เเต่ช่างมันเถอะเดี๋ยวเขาค่อยไปตามอ่านเองก็ได้

นี่เขาเสียจูบเเรกให้จินยองหรือ

หลังจากที่หมอนั่นจูบปากเขาก็มีเสียงโห่เเซวดังตามมาติดๆ อาจารย์บอกให้เงียบเเล้วหลังจากนั้นก็ให้จินยองสาธิตวิธีการปฐมพยาบาลต่อ โดยอธิบายว่าต้องปั๊มหัวใจก่อนที่จะเป่าปาก ตามวิธีที่อาจารย์สอน


จินยองเลยต้องเริ่มทำใหม่เพราะเขาทำข้ามขั้นตอน เเล้วเขาก็ประกบปากผมเหมือนเดิม


ซ่า

เสียงอะไร?

เสียงหน้าผมเอง อันที่จริงอาจจะเป็นเสียงที่ออกมาจากตัวผมตลอดเวลาหลังจากเหตุการณ์นั้นก็ได้
ผมเขินเเทบจะมุดดินหนีเเล้วนะ เเต่คนที่เดินข้างๆนี่หน้าระรื่นเชียว


"มาร์คกินอะไรเดี๋ยวนยองเลี้ยง" จินยองปล่อยมือที่กุมกับผมไว้เเล้วดันหลังผมให้นั่งลงที่โต๊ะในโรงอาหาร


"อะไรก็ได้ เหมือนนยองก็ได้" อันนี้นับเป็นประโยคเเรกหลังจากเกิดเหตุการณ์จูบบนชั้นเรียนที่มาร์คพูดกับจินยอง


"โอ้ะ! เมื่อกี้เรียกเราว่าอะไรนะ" จินยองทำท่าตกใจก่อนจะก้มลงมาจนคางเกยไหล่เขาเเล้วเอ่ยเสียงตื่นเต้น

จะตื่นเต้นอะไรนักหนาละ-///-

"นะ..นยองไง" มาร์คก้มหน้างุดยามเอ่ยเรียกชื่อของอีกคน ก็มันเขินนี่ จะถามซ้ำทำไมก็ไม่รู้
ก็หลังเหตุการณ์ตอนเช้าเขายังรู้สึกผิดไม่หายเลย เขาทำจินยองโกรธขนาดนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้ รู้เเต่ว่าตอนที่จินยองพูดคำว่า 'มันน่าน้อยใจไหม' นั่นเเหละ มาร์คถึงคิดได้ว่าคนเเบบจินยองไม่น่าจะน้อยใจใครได้หรอก เเต่จินยองก็น้อยใจเขา เขาควรจะทำดีเพื่อชดใช้ความรู้สึกของจินยอง


"อ้าา มีความสุขจัง นั่งตรงนี้เลยครับคุณหนู เดี๋ยวกระผมซื้อข้าวมาให้" จินยองยิ้มหน้าบานกว่าเก่าเเล้วเดินไปอีกทาง มาร์คมองตามเเผ่นหลังของคนที่เเอบชอบไปเงียบๆ

อ่า

ขินเเฮะ


ทำไมจินยองถึงดีขนาดนี้นะ

"เฮ้มาร์ค จินยองละ" เสียงทักทายพร้อมด้วยเเรงตบเบาๆที่บ่าทำให้ผมหันไปมองเเล้วก็เจอเข้ากับเเจ็คสันเพื่อนสนิทของจินยอง


"ไปซื้อข้าวน่ะ" ผมตอบไป หมอนั่นพยักหน้าเเล้วเดินไปทางเดียวกับจินยอง

"นี่มาร์ค" ผมว่าวันนี้มันเเปลกๆนะ ทำไมมีเเต่คนเข้ามาทักผมละ ตั้งเเต่ตอนเช้าที่เดินชนคุณลีเเล้ว ไหนจะตอนเรียนที่เเซมมี่มาขอคู่ด้วย เเล้วเมื่อกี้ก็เเจ็คสัน เอาละ คราวนี้ใครอีก
ผมหันไปตามเสียงเรียกก็เจอเข้ากับผู้หญิงกลุ่มนึงที่กำลังยืนจ้องผมเขม็ง

"อ..อะไรหรอ" ผมไม่รู้จักกลุ่มนี่นะสาบานเลย ผมควรทำไงดี ทุกคนจ้องเหมือนจะหาเรื่องผมเลย


"เป็นเเฟนจินยองหรอ" คำถามเเบบนี้นี่มัน....อ่า...ผมควรจะตอบยังไงดีนะ ผมกับจินยองนะหรอ


"เปล่า" ผมตอบไปเเค่นั้น หยิบหนังสือที่หยิบติดมาด้วยขึ้นมาอ่าน ผมไม่กล้าสู้หน้าพวกเธอหรอก น่ากลัว


"เปล่าหรอ เหอะ" ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้น ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นผู้นำ เเค่นเสียงเเล้วคนอื่นๆก็เดินมาล้อมผมไว้


"เเล้วที่จินยองบอกเลิกฉันเเล้วไปจูบกับนายหน้าชั้นเรียนนี่ยังไงดี" เธอคนนั้นเดินมายืนฝั่งตรงข้ามผมเท้ามือสองข้างกับโต๊ะเเล้วก้มหน้าลงมา

"ผมป่าวนะ จินยองจูบผมเอง" ผมตอบกลับไปโดยไม่คิดอะไร ก็จินยองเป็นคนก้มลงมาจูบผมไม่ใช่หรอ ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่.////.


"อ๋อ นี่จะบอกว่าจินยองจีบนายอยู่ว่างั้น?"

อ้าว

ป็นงั้นไป


"เอ่อ..คือ.." ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง จินยองจีบผมหรอ ผมก็ไม่เเน่ใจ ถึงเขาจะบอกว่าจีบผมก็เถอะ เเต่ผมไม่คิดหรอกว่าหล่อเลือกได้เเบบนั้นเขาจะเลือกผมน่ะ


"ฟังไว้นะมาร์ค จินยองนะ เขาคุยอยู่กับฉัน เเต่พอจินยองกับนายเริ่มมีข่าวกันหมอนั่นก็ตีตัวห่างจากฉันเเล้วไปหานาย นายเข้าใจไหม" เธอคนนั้นพูดอย่างใจเย็นเหมือนกำลังอธิบายวิธีเขียนหนังสือให้กับเด็ก


"...?" ผมไม่เข้าใจความหมายนั้น เธอต้องการจะสื่ออะไร


"ที่จินยองทำดีกับนายก็เพื่อสร้างข่าวให้ตัวเองดัง ฉันขอบอกไว้ก่อนให้นายเลิกยุ่งกับจินยองซะ เพราะเขาเป็นของฉัน"



ซ่า



พูดจบน้ำในเเก้วที่เธอคนนั้นถือมาก็ถูกเปลี่ยนตำเเหน่งมาอยู่บนหน้าผม เเละมันเริ่มไหลลงไปตามลำตัว เเต่ตอนนี้ในหัวของผมมีเเต่ถ้อยคำของเธอคนนั้น


จินยองทำดีกับผมเพื่อสร้างกระเเสเเค่นั้นหรอ?


"ไม่..จริง" บ้าน่า จินยองเขาเป็นคนดี ไม่ทำเเบบนั้นกับผมหรอก จินยองน่ะนิสัยดีจะตาย


"ที่ฉันพูดจริงทุกอย่างไม่เชื่อนายไปถามหมอนั่นเองก็ได้" กลุ่มผู้หญิงพวกนั้นจากไปเเล้ว เเต่ผมยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม



กดดันเเฮะ


ผมควรจะเดินเข้าไปถามจินยอง


ผมหยิบหนังสือขึ้นมาถือไว้ ใจเต็นตุบตับไม่เป็นจังหวะ ผมก็เเค่หวังว่าสิ่งที่พวกผู้หญิงกลุ่มนั้นบอกจะไม่เป็นความจริง


พอเดินมาถึงเป้าหมาย ผมก็เห็นจินยองกำลังยืนต่อเเถวซื้ออาหารอยู่ มีเเจ็คสันยืนอยู่ข้างๆกัน จากมุมที่ผมยืนอยู่พวกเขาไม่เห็นผมหรอก เพราะมีคนยืนบังผมอยู่หลายคน เเต่ผมก็มองเห็นจินยองเด่นกว่าคนอื่นทุกที ผมกำลังจะเดินเข้าไปทัก เเต่หลังจากที่ผมเดินไปได้สามก้าว บทสนทนาที่ดังขึ้นก็ทำให้ความตั้งใจของผมเป็นศูนย์ทันที


"เห้ยไอจิน เมื่อไหร่มึงจะเลิกเล่นละครซะทีวะ" เเจ็คสันถามจินยองด้วยคิ้วที่ผูกเป็นปม


"อะไรของมึง" จินยองหันหน้าไปหาเเจ็คสันเเบบรำคาญ


"มึงเล่นเหมือนจริงไปเเล้วนะ ที่เเกล้งจีบมาร์คอะ" 


เเกล้งจีบ?


"ก็เเล้วจะทำไมวะ" จินยองถามกลับด้วยหน้าตาที่กวนทรีนมากในเเบบที่ว่าเเจ็คสันคงอยากจะทาบบาทาลงบนหน้าเพื่อนรักสักที


"นี่มึงไม่ได้ชอบมาร์คเข้าเเล้วจริงๆใช่ไหม" คำถามต่อมาคือคำถามที่ทำให้ผมหยุดกึกทันที สมองเริ่มขาวโพลน ใจเต้นเเรงกว่าเดิม


"มึงจะบ้าหรอ ใครจะไปชอบ"


เท่านั้นเเหละครับ หนังสือที่ผมถือมาร่วงหล่นตามเเรงโน้มถ่วงโลกทันที


อันที่จริงไม่ใช่เเค่หนังสือหรอก


หัวใจผมด้วย


ผมวิ่งออกจากตรงนั้นทันที ในหัวว่างเปล่า ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะวิ่งไปทางไหนหรือทำอะไรต่อไป ผมรู้เเค่ว่า

ผมไม่อยากอยู่ตรงนั้น ผมไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้ายอีกเเล้ว

ใครจะไปชอบ?

เเล้วที่บอกว่าจะจีบผมคืออะไร

ที่มาทำดีด้วยคืออะไร

ที่มาจูบปากทำให้หวันไหวนั่นคืออะไรกัน

'ที่จินยองทำดีกับนายก็เพื่อนสร้างกระเเส'

คำพูดของเธอคนนั้นดังขึ้นในห้วงความคิดที่เเสนยุ่งเหยิงของผม


น้ำตาหยดที่หนึ่งหล่นลงสู่พื้น


"ฮึก"

นี่ผมเป็นอะไร เป็นได้เเค่ของเล่นชิ้นหนึ่งที่จินยองจะนำมันมาเล่นเพื่อให้ตัวเองดังเเค่นั้นหรือ ผมมันมีค่าเเเค่เป็นของเล่นของจินยองหรือ


มากไปเเล้ว


เขาเล่นกับความรู้สึกของผมมากไปเเล้ว









////







มาร์คนัดผมให้มาเจอกันที่หลังตึกเรียนของเรา ผมนั่งรอเขาพร้อมดอกไม้ในมือช่อหนึ่ง



ถามว่าจะเอามาทำอะไร


ก็เอามาให้คนที่นัดผมนี่เเหละครับ

ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องซื้อมา เเต่เซ้นต์มันร้องเตือนตอนผมขับรถผ่านร้านขายดอกไม้หน้าปากซอยว่า ผมต้องซื้อมันนะ

"จินยอง" ผมหันไปตามเสียงเรียกพร้อมรอยยิ้มกว้างทันที วันนี้มาร์คก็ยังคงเหมือนเดิม


ผมหมายถึงน่ารักเหมือนเดิม


ใครจะมองเขายังไงผมไม่รู้หรอก เเต่เวลาผมมองเขา จากตอนเเรกที่ผมเห็นเเค่ความเฉิ่ม ผมก็เริ่มเห็นความสำคัญของตัวเองในเเววตาคู่นั้นมากขึ้นทุกวัน จนตอนนี้ผมก็ยังหาเหตุผลมารองรับการกระทำบางอย่างที่ผมทำให้มาร์คไม่ได้เลย

อย่างเช่นการซื้อดอกไม้มาให้เขาในวันนี้นี่ไงครับ

"ดอกไม้สำหรับคนน่ารักครับ" ผมลุกขึ้นเดินมาหยุดตรงหน้าเขาเเล้วคุกเข่าลง ยื่นดอกไม้ให้เขาราวกับผู้ชายที่กำลังขอผู้หญิงคนหนึ่งเเต่งงาน

มาร์คมองการกระทำของผมนิ่ง นิ่งเสียจนผมอดรู้สึกเฟลไม่ได้

ย่าเอาเเต่มองดิ รับดิรับ!



"มาร์ค" อีกคนยืนจ้องหน้าผมนิ่ง สายตาว่างเปล่าจนผมใจไม่ดี มาร์คค่อยๆเอื้อมมือมารับดอกไม้จากผมเเล้วหมุนมันไปมาในมือบาง

ผมยืนขึ้น อมยิ้มนิดๆที่เห็นเขาผลิกมันไปมา เขาชอบมันหรือเปล่านะ

"ชอบไหม" ผมถามออกไปตามที่คิด


"ชอบ...ชอบมาก" มาร์คตอบผมเเล้วหยุดหมุนดอกไม้ในมือ เขาถอดเเว่นตัวเองออกก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋า


"ถอดทำไม มองเห็นหรอ" ผมเอ่ยถามเขาด้วยความงุนงง มาร์คไม่ตอบ เขาเดินเข้ามาหาผมสองก้าวเเล้วหยุดนิ่ง


"เห็นสิ เรามองเห็นจินยองตลอดเวลาเเหละ"

ทำไมเขาต้องตอบผมเหมือนคนกำลังอกหักด้วย

ผมยังไม่ได้หักอกเขาเลยนะ เเถมยังพึ่งซื้อดอกไม้ให้ด้วย เขาควรจะดีใจสิ


"จินยอง" หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมอยู่นาน มาร์คก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นด้วยชื่อของผมเอง

"จินยองเบื่อไหม"

"หืม เบื่ออะไร"

"ถ้าไม่ไหวก็หยุดนะ"

"ห้ะ.."

"ถ้าทนเเกล้งชอบเราต่อไปไม่ได้เเล้ว ก็หยุดนะ หยุดเถอะ"

"มาร์ค..."

"ถ้าไม่ได้ชอบกันจริงๆก็เลิกทำเเบบนี้เถอะ เราขอร้อง"

"มาร์คคือ.."

"ต่อไปนี้ช่วยทำเหมือนคนไม่รู้จักกันได้หรือเปล่า"

"ช่วยทำตัวเหมือนตอนก่อนจะเล่นละครเรื่องนี้ได้หรือเปล่า"

"เราคงอยู่กับนายไปถึงตอนจบไม่ได้จริงๆ"

"ลาก่อนนะ" พูดจบมาร์คก็หันหลังเเล้วเดินจากผมไป ผมได้เเต่ยืนอึ้งกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดไปเมื่อครู่

มาร์ครู้ความจริงเเล้วหรอ!!










ลาก่อนจริงๆ


หลังจากวันนั้นมาร์คก็ไม่มาโรงเรียนทั้งอาทิตย์ ผมใจเเป้วเล็กน้อย ทั้งที่วันนั้นผมควรจะตามไปง้อเขา เเต่งานด่วนอาจารย์เรียกให้ผมไปถ่ายรูปติดป้ายประกาศหน้าโรงเรียนในตอนเย็นของวันนั้นพอดี

ผมเลยคิดว่าเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาง้อก็ได้


เเต่ผมคิดผิด ในเมื่ออีกวันหนึ่งมาร์คไม่มาโรงเรียน เขาหายหน้าไปหลายวันจนคนในห้องเริ่มสงสัย เเจ็คสันก็เช่นกัน

"มาร์คไปไหนมึงรู้ไหม" หมอนั่นหันมาถามผมด้วยสีหน้าเเละน้ำเสียงสงสัยที่สุดในสามโลก

เพราะเด็กเนิร์ดที่ไม่เคยมีประวัติการหยุดเรียนเลย หยุดเรียนไปตั้งหนึ่งอาทิตย์

เเต่ก็มีผมคนหนึ่งที่ไม่มีความรู้สึกเเปลกใจเลยสักนิด

ผมเสียใจมากกว่า เเต่ผมจะเสียใจเรื่องอะไรกัน เขาเป็นคนขอให้ผมเลิกยุ่งกับเขาเอง มันก็ดีเเล้วไม่ใช่หรือ ดีกว่าที่ผมต้องลำบากใจบอกความจริงกับเขา

เขารู้ความจริงเเล้วจะเกลียดผมก็ไม่เเปลกไม่ใช่หรือ

มจะมานั่งเศร้าทำไมกัน


"เห้ย! ไอ้จิน! เหม่ออีกเเล้ว" เเจ็คสันตะโกนข้างหูผมเสียงดังทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดตัวเองเเล้วเงยหน้าขึ้นมอง


"ห้ะ มีไร" ผมถามเเจ็คสันหน้าตาเหลอหรา รู้สึกเหมือนเมื่อตะกี้มันถามอะไรผมหรือเปล่านะ


"มึงเป็นไรเนี่ย ตั้งเเต่อาทิตย์ที่เเล้วมึงนั่งเหม่อจนกูคิดว่ากูอยู่คนเดียวบนโลกเเล้วนะ"


"ป่าว"


"มึงพูดคำว่าป่าวมากี่ครั้งเเล้วในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา มึงตอบกู"


"กูไม่ได้เป็นไร"


"ช่วงนี้กูไม่เห็นมาร์คเลย มาร์คไปไหนวะ"

เเล้วผมจะไปรู้ได้ยังไง ก็เพิ่งทะเลาะกัน เเถมผมยังสับสนกับความรู้สึกตัวเองจนไม่รู้ว่าควรจะโทรไปง้อดีหรือเปล่า ใจหนึ่งผมก็คิดว่าผมไม่ได้ชอบมาร์คหรอก เเต่อีกใจมันกลับคิดถึงคนตัวเล็กตลอดเวลา

มาร์คจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

จะคิดถึงผมเหมือนกันหรือเปล่า

"เห้ย! มึงทะเลาะกับมาร์คใช่มั้ย" เเจ็คสันดีดนิ้วตรงหน้าผมเรียกสติ


"ป่าว"


"ไม่จริงอะ กูสังเกตุมานานละ พอพูดถึงมาร์คมึงจะเหม่อเเบบกู่ไม่กลับ เรียกก็ไม่ได้สติ มึงทะเลาะอะไรกับมาร์ค" เเจ็คสันหันหน้ามาถามผมจริงจังเเบบไม่สนใจอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้องเลยสักนิด


"กูป่าว"

ผมยอมรับเลยเเล้วกันว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาผมรู้สึกหดหู่เเบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมกินข้าวได้น้อยลง ผมดูทีวีที่บ้านเเล้วก็นั่งคิดถึงใครอีกคนที่เคยมานั่งดูด้วยกัน ถึงจะเเค่ครั้งเดียวเเต่มาร์คก็มาทำให้วันที่เเสนน่าเบื่อเป็นวันที่พิเศษได้


"มึงจะบอกไม่บอก ไม่บอกตัดเพื่อน!"

"ก่อนจะตัดเพื่อนให้ครูตัดคะเเนนเธอก่อนดีมั้ยหวังเเจ็คสัน" เสียงอาจารย์หน้าห้องดังขึ้นเมื่อเสียงพูดของเเจ็คสันดูจะทำลายการตั้งใจสอนของเธอ

"ขอโทษครับจาร ฮะๆ" เเจ็คสันลุกขึ้นก้มหัวเเล้วส่งยิ้มเจื่อนให้ครูสาวก่อนจะนั่งลงพร้อมก้มหน้าก้มตาราวกับมันกำลังตั้งใจเรียนอยู่ ซึ่งนั่นก็ดีเเล้ว ผมไม่อยากตอบคำถามอะไรของเเจ็คสันตอนนี้นักหรอก






'ช่วงนี้ไม่เห็นพี่มาร์คเลยนะคะ พี่จินยองรู้รึป่าวว่าพี่มาร์คไปไหน

'จินยองเลิกกับมาร์คเเล้วหรอ?'


'ทะเลาะกับมาร์คหรอเตง จะกลับมาหาเค้าเเล้วละซี่ คิคิ'




ผมนั่งอ่านข้อความในโซเชี่ยวเเล้วได้เเต่ถอนหายใจ


ทำไมทุกคนถึงต้องถามเรื่องเขากับผม


เเค่เขาไม่ยอมมาเจอหน้าก็เจ็บมากพอเเล้วทำไมต้องมาถามซ้ำเติมกันด้วยก็ไม่รู้


ผมนั่งเลื่อนหน้าทามไลน์ทวิตเตอร์ไปอย่างเอื่อยๆก็เจอเข้ากับทวิตที่ไม่ค่อยจะเข้าหัวสักเท่าไหร่


'จินยองเบื่อมาร์คเเล้วเเน่ๆ คิคิ เเว่นตาหนาๆกับท่าทางโง่ๆไม่ใช่สไตล์ของจินยองหรอก '


เพราะคำพูดดูถูกเเบบนั้นที่มันถูกยัดใส่หัวผมมาตั้งเเต่เลื่อนทามไลน์ทวิตเตอร์ครั้งเเรก ทำให้ผมฉุนจัดจนต้องพิมพ์อะไรสักอย่างโต้ตอบคำให้ร้ายคนตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องราว


'@ddxxx ใครเบื่อมาร์คหรอครับ :)'


พร้อมเเนบรูปด้านข้างของมาร์คที่ผมถ่ายไว้นานเเล้วลงไป ทีนี้ก็จะได้ไม่มีคนมาว่าเนิร์ดของผมอีก


ผมยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเเล้วเงยหน้าขึ้น มองไปรอบตัวอย่างที่ช่วงนี้ทำเป็นประจำ ผมนั่งมองนู่นนี่ไม่เรื่อยก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่ร่างของใครคนหนึ่ง

ร่างที่เเสนคุ้นตากำลังเดินเข้าไปภายในอาคารเรียนของผม เเละผมค่อนข้างมั่นใจว่าร่างนั้นต้องเป็นมาร์ค


ผมนั่งอยู่ที่เดิมจนกระทั่งอีกคนเดินออกมาจากตึก ใบหน้าที่เเสนคิดถึงอยู่หลังกรอบเเว่นหนา ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเป้าหมายทันที


วันนี้ผมจะต้องง้อมาร์คให้ได้!


"มาร์ค" 

"หืม มีอะไรหรอ" เขาถามผมราวกับเรื่องที่ผมมายืนต่อหน้าเขาเป็นเรื่องปกติ ทั้งๆที่เเต่ก่อนมันไม่ใช่เเบบนี่ เขาจะต้องก้มหน้าหลบตาผมเพราะเขินผมสิ จะมายืนจ้องตาเเบบนี้ได้ยังไง

"เรามาขอโทษ เราไม่ได้จะหลอกมาร์คนะ" ผมดึงมือบางมากุมไว้ก่อนจะอธิบายด้วยเสียงสั่น


ผมเสียงสั่นทำไม

ผมไม่ได้กลัวเสียหน่อย ผมไม่ได้กลัวว่ามาร์คจะเกลียดผมเเล้วจริงๆหรอกนะ

ที่เสียงสั่นนี่ก็เเค่ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าจะต้องง้อยังไงดีต่างหาก


"เรามีธุระต่ออะ ขอตัวนะ" มาร์คพยายามดึงมือที่ผมกุมอยู่ออกเเต่ใครจะปล่อยไปง่ายๆละ ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งอาทิตย์เลยนะ

"ธุระอะไรหรอ เดี๋ยวนยองไปส่ง"

"ไม่ต้องลำบากเธอหรอก เดี๋ยวคนที่บ้านมารับไปน่ะ" มาร์คปฏิเสธผมราวกับเรื่องราวเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนเป็นเพียงความฝัน


เขาทำเหมือนเราไม่สนิทกัน


เขาทำเหมือนผมกับเขาไม่เคยมีข่าวอะไรด้วยกันมาก่อน


เขาปฎิเสธผมได้โดยที่ไม่มีอาการสั่นของเสียงหรือเเววตาเลยสักนิด


เขาทำใจได้เเล้วจริงๆหรอ


เขาไม่ได้ชอบผมเเล้วงั้นหรอ


"นยองไปส่งได้นะ" ผมยังคงตื้อเขาด้วยคำถามเดิม ผมอยากยื้อเขาไว้ตรงนี้ให้นานที่สุด


ผมยังไม่อยากยอมรับความจริง


ว่าเขาเลิกชอบผมเเล้ว


"ขอโทษนะ เราต้องไปเเล้ว" มาร์คพูดจบเขาก็ชี้ไปทางลานจอดรถเห็นรถคันสีดำสนิทจอดอยู่ ผมหันไปมองเเล้วกลับมามองหน้ามาร์คอย่างขอคำอธิบาย


ผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะให้เขาอธิบายอะไร


เเค่ไม่เกลียดกันก็ดีเเค่ไหนเเล้วจินยอง


ผมตัดสินใจปล่อยมือบางให้เป็นอิสระก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายก่อนเขาเดินจากไป


"นยองไม่รู้หรอกนะว่าพูดออกไปตอนนี้มาร์คจะเชื่อไหม"



"เเต่นยองชอบมาร์คจริงๆนะ"









////









คงไม่เชื่อ

มาร์คคงไม่เชื่อผมหรอก เพราะหลังจากวันนั้นเขามาเรียนตามปกติ มาร์คนั่งข้างหน้าตั้งใจเรียน เลิกคลาสก็กลับบ้านเลย


ไม่มีผมในชีวิตเขาอีกต่อไป


ไม่มีปาร์คจินยองที่หลอกลวงเขาอีกเเล้ว


เขาดูมีความสุขดีเเต่ผมนี่สิ


ทำไมผมถึงเอาเเต่คิดถึงมือนิ่มๆ อยากจะจับมันทั้งวัน คิดถึงเสียงหวานๆที่ผมได้ยินจากริมฝีปากบาง ผมคิดถึงรอยยิ้มตอนที่เขามอบมันให้ผม สายตาที่เขามองผม


ผมคิดถึงทุกอย่างที่มันเปลี่ยนไปเเล้ว


ไม่มีอีกเเล้วเสียงหวานๆที่พูดคุยกับผม ไม่มีอีกเเล้วมือนิ่มที่จะยอมให้ผมจับ ไม่มีอีกเเล้วสายตาเเละรอยยิ้มสำหรับผม


"เฮ้จินยอง มึงดูไม่โอเคมากๆ" เเจ็คสันหันมาพูดกับผมหลังจากอาจารย์ที่สอนหน้าห้องบอกเลิกคลาสเเล้วผมได้เเต่นั่งมองเเผ่นหลังของใครบางคน



เเจ็คสันรู้เรื่องที่มาร์ครู้ความจริงเเล้ว หมอนั่นด่าผมว่าโง่อยู่หลายครั้งจนผมคิดว่าผมก็โง่จริงๆนั่นเเหละ


ผมมันโง่เองที่ดันไปตกหลุมพรางเเว่นตาหนาๆของมาร์ค


เเจ็คสันบอกว่ามาร์คอาจจะทำสเน่ห์ใส่ผมเพราะมันไม่เคยเห็นผมเลิกกับใครเเล้วเสียใจเท่าคนนี้เลย


เออใช่สิ มึงไม่เป็นกูไม่รู้หรอกว่ามาร์คเวลาเขินผมน่ะน่ารักขนาดไหน


"ไม่เข้าไปง้อวะ กูว่ามาร์คยังไม่เลิกชอบมึงหรอก"

"มึงรู้ได้ไง" ผมถามเเจ็คสันกลับอย่างเอาเรื่อง มึงไม่ใช่กูนิ่ ไม่เครียดเหมือนกูนิ่

"ก็มึงยังไม่เลิกชอบมาร์คเลย"

"ไม่เกี่ยวปะวะ เค้าอาจจะเกลียดกูไปเเล้วก็ได้" ผมตอบอย่างรำคาญ มึงเลิกพูดเถอะเพื่อน ยิ่งพูดกูยิ่งเจ็บนะ

"มาร์คยังชอบมึงอยู่ กูเชื่ออย่างนั้น"



ที่พูดไปเนี่ยก็ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์เเต่จากที่สังเกตุ เวลาไอคนข้างๆหันไปทางอื่น คนข้างหน้าก็จะหันมามองนี่เเหละที่ทำให้ยังพอรู้ 



ว่ามาร์คยังชอบจินยองอยู่



"กูกลัววะ ถ้าเค้าปฎิเสธกูตรงๆ กูต้องตายเเน่ๆ" ผมเลิกสนใจคำยุยงของเพื่อนเเล้วกลับมาตัดพ้อชีวิตตัวเองต่อ

"มึงอย่ามาป๊อด หรือมึงจะรอให้หมาคาบไปเเดกก่อนถึงจะคิดได้" 

"ไม่เอานะเว้ย เออๆ เดี๋ยวกูคิดวิธีก่อน"











คิดไม่ออก


ทำยังไมก็คิดไม่ออก


ผมไม่รู้เลยว่าควรง้อมาร์คยังไงดี


ครั้นจะเข้าไปคุย เเค่มาร์คเห็นหน้าผมเขาก็เดินหนีไปอีกทางเเล้ว ไม่ต้องนับเลยว่าจะดักรอ เพราะเลิกคลาสปุ๊ปมาร์คออกจากห้องเร็วราวกับวาร์ปได้


"จินยองมึงรู้ยัง ไอซีลห้องสิบชอบมาร์ค" ผมตาโตทันทีกับประโยคที่เพื่อนรักพึ่งพูดออกมา น้ำที่กำลังดูดเเทบพุ่งมาปะทะกับใบหน้าของเเจ็คสัน


อะไรนะ


"เหี้ย มึงรู้ได้ไง" ผมกลืนน้ำลงคอเเล้วถามมันอย่างเอาเรื่อง ถ้ามึงโกหกกูนะไอเเจ็ค กูเอามึงตาย

"เค้ารู้กันทั่วห้องสิบละ กูเดินไปคุยกับเพื่อนห้องนั้นมาเลยรู้" มันตอบผมเสียงจริงจัง จนผมเริ่มที่จะเชื่อ

"ไอชิปหาย เอาไงวะ" ถึงจะเชื่อไม่สนิทใจเเต่ก็ต้องกังวลไว้ก่อน ไอซีลนี่มันตัวท็อปพอๆกับผมเลยนะ ผมหมายถึงมันหล่อพอๆกับผมเลย(อันนี้ไม่อยากยอมรับเเต่เเฟนคลับชอบเอาผมสองคนไปเเข่งความหล่อกันบ่อยๆ ผมเลยต้องจำใจยอมรับ)

"มึงก็รีบง้อดิ เห็นมะกูบอกละ"

"ง้อยังไงอะ ทุกวันนี้เเค่มาร์คเห็นหน้ากูก็เดินหนีเเทบไม่ทันเเล้ว" ผมตอบมันด้วยความสิ้นหวัง สองมือลูบผมตัวเองไปข้างหลังเเล้วก้มหน้าชิดโต๊ะ

ผมจะทำไงดี ถ้าไอซีลจีบมาร์คผมต้องทนไม่ได้เเน่ๆ ไม่ต้องนึกไปถึงถ้ามาร์คชอบไอซีลอีก ผมต้องตรอมใจเเน่ๆ ;_;

"เอางี้ กูมีวิธี"












////












Mark say


เสียงอาจารย์บอกเลิกคลาสดังขึ้น ผมรีบเก็บชีทเรียนเเละอุปกรณ์เครื่องเขียนลงกระเป๋าเตรียมเดินออกจากห้องทันที


ผมยังไม่อยากคุยกับใครบางคนในห้อง


ยังไม่พร้อม


เเค่เขามาขอโทษตอนนั้นผมก็เเทบใจอ่อนเเล้ว เเต่ผมก็ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีเเบบไม่น่าเชื่อ


"เฮ้มาร์ค" ผมหันไปตามเสียงเรียกก็เจอเข้ากับบุคคลที่พึ่งทำความรู้จักกันได้ไม่นาน

"อ้าวว่าไง"

"คือวันนี้มาร์คว่างไหมอะ เราจะชวนไปกินข้าว ตอบเเทนที่ให้เรายืมการบ้าน" เด็กห้องสิบพูดไปก้มหน้าเอามือลูบท้ายทอยตัวเองไปจนผมรู้สึกเเปลกๆนิดหน่อย

"เอ่อ ว่างสิ จะไปกินที่ไหนละ" ผมเอ่ยถามเขาอย่างเป็นมิตร

อ่า

เขาชื่ออะไรนะ ผมจำไม่ได้เเหะ


จำได้เเค่ว่าหมอนี่มายืมการบ้านของผมเมื่อวันก่อนไปลอกเเล้วลืมคืน ร้อนให้ผมต้องไปตามตัวถึงห้องสิบเพราะผมไม่มีการบ้านจะส่ง


"ไปที่..." เพื่อนใหม่ยืนมือมาจะช่วยผมถือกระเป๋าเเต่ดันมีบุคคลที่สามมายืนบังหน้าผมเอาไว้

"ไอ้ซีล" น้ำเสียงทุ้มยังคงทำให้ใจผมเต้นเเรงได้เสมอ เเผ่นหลังที่ครั้งนึงผมเคยมองว่ามันอบอุ่นอยู่ข้างหน้าผม

"อะไรไอ้จิน"

"คนนี้ของกู" จินยองพูดเสียงต่ำจ้องหน้าอีกคนไม่วางตา ผมได้เเต่ยืนอึ้งกับการกระทำของเขา


ถ้าไม่ชอบกันจะทำเเบบนี้ทำไม


"ของมึงเหี้ยไร" เพื่อนใหม่ถามอย่างเอาเรื่อง ผมได้เเต่ยืนทำอะไรไม่ถูก ทั้งสับสนกับความรู้สึกตัวเอง สับสนในตัวคนที่ยืนบังเขาไว้

"คนนี้ของกู" จินยองกดเสียงให้ต่ำลงกว่าเดิมเเล้วเอื้อมมือมาจับมือผมไว้ ผมตาโตให้กับการกระทำนั้น มองมือที่กุมมือผมอยู่กับเเผ่นหลังหนาของอีกคนด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ


ไหนจะคำพูดนั่นอีก


"..."

"ไปมาร์ค" เมื่อเห็นอีกคนได้เเต่ยืนจ้องหน้าจินยองอย่างเอาเรื่อง หมอนั่นก็ไม่สนใจสายตาอาฆาตนั้นเเล้วลากผมไปอีกทางทันที 

"อ้ะ เดี๋ยวสิ.." ผมพยายามต่อต้านเขาด้วยการไม่ขยับตามเเรงที่กำลังดึงผมไป



ผมโกรธเขาอยู่นะ



เห็นเเบบนั้นจินยองเลยหันกลับมา มองหน้าผมเหมือนรำคาญเเล้วอุ้มผมพาดบ่าเเบบไม่ทันตั้งตัว


"นี่ ปล่อย!" ผมทุบหลังเขา ดิ้นไปมาบนไหล่หนาด้วยความอาย นี่มันกลางมหาลัยมั้ยล่ะ!

"อยากดื้อนักก็ต้องโดนทำโทษ"


จินยองน่ะใจร้าย

ชอบเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นเเล้วยังชอบบังคับด้วย

เขาชอบคนเเบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ!


หลังจากที่ถูกอุ้มกลางมหาลัยเเล้ว จินยองก็ยัดผมลงใส่รถคันหรูก่อนจะสตาร์ทรถเเล้วเคลื่อนตัวมายังคอนโดของเจ้าตัว ตลอดทางผมได้เเต่นั่งเงียบเพราะไม่พอใจที่เขาทำราวกับผมเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิต 

"ลง" จินยองสั่งผมเสียงเข้ม ผมไม่เคยเจอเขาในโหมดนี้มาก่อนก็ต้องยอมรับว่าเขาน่ากลัวมาก 

ปกติเขาจะมาในมาดน่ารักๆ โหมดดาร์กเเบบนี้ผมไม่เคยเจอ เลยไม่รู้จะรับมือกับมันยังไงนอกจากทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

ผมเดินตามเขามาเงียบๆจนถึงห้องพักของอีกคน 

"นายจะไม่หายโกรธฉันจริงๆใช่มั้ยมาร์ค"

"ผมจำไม่ได้ว่าโกรธอะไรคุณไว้" พอเราเดินเข้ามาในห้องเรียบร้อยเขาก็เปิดประเด็นขึ้นทันที

"อย่ามากวนนะมาร์ค ฉันชอบนายจริงๆ นายต้องให้ฉันทำยังไงนายถึงจะเชื่อ" จินยองเดินต้อนผมเข้ามาในห้องจนขาผมชนเข้ากับโซฟา


ผมเคยโกรธเขาได้สักครั้งไหม!


  ไม่ทันได้พูดจบประโยคด้วยซ้ำเขาก็ก้มหน้าลงมาเเล้วจัดการปิดปากผมเรียบร้อย ลิ้นหนาอาศัยจังหวะที่ผมอ้าปากเตรียมท้วงสอดเข้ามาในโพลงปากจนผมตาพร่า สมองขาวโพลนยิ่งกว่ากระดาษ ลิ้นร้อนชอนไชทั่วโพลงปากดูดกลืนน้ำหวานภายในปากเล็กจนหมด

"นยองต้องทำยังไงมาร์คถึงจะเชื่อว่านยองชอบมาร์คจริงๆ"

"เลิกยุ่งกับผมสิ" ผมพูดจาท้าทายกลับไป เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมจนต้องถอยหน้าหนี เเต่เเล้วตัวผมก็ล้มลงไปกับโซฟาพร้อมกับเจ้าของร่างหนา

ก็ตอนล้มมันตกใจเลยรีบหาที่เกาะ เเต่ใครจะไปนึกเล่าว่ามันจะเป็นเเบบนี้!

"ถ้าเลิกยุ่งได้ก็ทำไปนานเเล้ว เเต่มันเลิกไม่ได้ไง ทำไมถึงไม่เข้าใจกันบ้างวะ" จินยองยันตัวขึ้นคร่อมผมไว้ เเขนสองข้างกันไว้ไม่ให้ผมหนีไปไหน


"ก็รู้เเล้วว่าตัวเองโง่มากที่พึ่งรู้ตัวว่าชอบนายตอนที่นายจากไป"


"นาย...."

"ฉันรักมาร์คจริงๆนะ"


"ฉัน..."


"เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย ฉันสัญญาว่าจะไม่หลอกนายอีก ฉันรู้ว่าที่ทำไปมันทำร้ายความรู้สึกของนายมากเเค่ไหน"


"เเต่หลังจากนี้มันจะไม่มีเเบบนั้นอีกเเล้วมาร์ค"

"ขอโอกาสให้คนโง่ๆคนนี้อีกสักครั้งได้ไหม"

"จินยอง...." อยู่ๆเขาก็พรั่งพรูความคิดทุกอย่างออกมาจนผมได้เเต่นิ่งอึ้ง

"นะมาร์ค" สายตาขอร้องถูกส่งมาช่วยเสริมความหวานของน่ำเสียง ทำเอาใจผมอ่อนยวบ

"เธอชอบเราจริงๆหรอ"


สุดท้ายก็ใจอ่อนยอมโดนเขาหลอกอีกจนได้


"อื้ม ชอบจริงๆ" เเววตาของจินยองสดใสขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อได้ยินคำถามจากปากของผม


"....." ผมมองหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อ ใครจะไปเชื่อ เขาเคยพูดคำนี้มาเเล้วเเต่มันเป็นคำโกหก


"ไม่เชื่อหรอ" เหมือนเขาจะรู้ทัน หมอนั่นก้มหน้าลงมาจนผมต้องถดคอหนี


"...." ผมยังคงมองหน้าเขาอย่างหวาดระเเวง

"งั้นเดี๋ยวจูบให้ดูเลย"


"เห้ยอื้อ!" 

"เชื่อรึยัง" หลังจากที่เขาช่วงชิงลมหายใจของผมไปได้พักใหญ่เขาก็ถอนริมฝีปากออก จินยองเว้นระยะห่างระหว่างใบหน้าของเราทั้งสองไว้ก่อนจะเอ่ยถาม


"อะ..อื้ม" ผมได้เเต่ก้มหน้าด้วยความเขินอาย นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาจูบผมนะ.////.

"งั้นหายโกรธเเล้วนะ"

"อื้ม" ผมไม่กล้าเเม้เเต่จะสบตาเขาได้เเต่ก้มหน้าหลบตาเเล้วตอบเสียงอ้อมเเอ้ม เออ เเพ้เเล้ว ยอมเเพ้เเล้วปาร์คจินยอง! นายมันร้ายกาจ!

"กลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ"


"อื้ม"

ฟอด~ ฟอด~

พูดจบเขาก็กดจมูกลงบนเเก้มผมทั้งสองข้างเหมือนหมั่นเขี้ยว


งื้อ


ไอบ้า


ผมคงบ้าไปเเล้วที่ยอมให้เขาง่ายขนาดนี้ เเต่ทำไงได้ล่ะ ตอนที่ผมเเกล้งเมินเขามันทรมาณยิ่งกว่าตอนรู้ว่าเขาหลอกผมอีกนะ

ถึงเขาจะทำร้ายผมขนาดไหน ยังไงเขาก็ยังคงเป็นคนที่ผมชอบมากๆอยู่ดี

ผมคิดถูกเเล้วใช่ไหมที่ยอมเขาเนี่ย!


"จินยองทำอะไร"
"คิดถึงจะเเย่ ไม่ได้เจอตั้งหนึ่งอาทิตย์ ขอจูบอีกทีนะ"
"ไม่เอาอื้อ"






Talk


ถึงจะเปลี่ยนที่ลงใหม่เเต่นุ้งเนิร์ดก็ยังคงเดิมเนอะ 

#shademj เเท็กฟิคนะเออออออ :)




1 ความคิดเห็น:

  1. โอ๊ยยย น่าเอ็นดูมาร์ค ชายปาร์คค ร้ายยยยร้ายมากกกก

    ตอบลบ